
ประเภทของผู้เข้าร่วมโครงการเพาะปลูก
1.ผู้สนใจเพาะปลูก ที่มีความพร้อม (มีพื้นที่ทำการเกษตรและปัจจัยด้านทุนทรัพย์สำหรับสร้างโรงเรือน)
1.ผู้สนใจเพาะปลูก ที่มีความพร้อม (มีพื้นที่ทำการเกษตรและปัจจัยด้านทุนทรัพย์สำหรับสร้างโรงเรือน)
2.ผู้สนใจเพาะปลูก (มีพื้นที่ทำการเกษตรแต่ขาดปัจจัยด้านทุนทรัพย์สำหรับสร้างโรงเรือน)
3.ผู้สนใจเพาะปลูกที่ต้องการมีการรวมกลุ่มกัน
3.ผู้สนใจเพาะปลูกที่ต้องการมีการรวมกลุ่มกัน
ทางสถาบันส่งเสริมและพัฒนาเกษตรอินทรีย์เพื่อการส่งออกยินดีให้คำปรึกษาผู้เข้าร่วมโครงการทุกประเภท
สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถดาวน์โหลด หนังสือแจ้งความจำนงค์เข้าร่วมโครงการ ได้ที่แถบเมนู
" นส.แจ้งความจำนงเข้าร่วมโครงการ "
ส่งมาที่่ Gmail : somboonkaset@gmail.com
หรือโทรสอบถามที่ 083-3221878
เมื่อผ่านการพิจารณาแล้วจะมีเจ้าหน้าที่ลงตรวจพื้นที่และทำหนังสือสัญญาข้อตกลงในการเข้าร่วมกับสถาบันฯ
การเข้าร่วมโครงการกับสถาบันดีอย่างไร
1.สถาบันฯดูแลควบคุมมาตรฐานการเพาะปลูกผลผลิตและรับประกันราคา
2.สถาบันฯมีการจัดการระบบการดูแลพืชด้วยเทคโนโลยีคุณภาพสูง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพปลอดภัยจากสารเคมตกค้างอย่างแท้จริง ซึ่งในความเป็นจริงในการเพาะปลูก หากปลูกเอง ขายเอง ทำการตลาดเอง ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะต้องปลูกให้ได้คุณภาพและได้จำนวนผลผลิตที่มีจำนวนมากได้ขนาดและคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ
3.สถาบันฯมีฝ่ายวางแผนและรับผิดชอบการดูแลการเพาะปลูกตลอดสัญญา เช่น กรณีเพาะปลูกแล้วผลผลิตล้นตลาด ราคาไม่ดี ขายไม่ออก สถาบันฯมีทางเลือกเพื่อปรับการเพาะปลูกเป็นพืชชนิดอื่นทดแทน เพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้กับเกษตรกรผู้เพาะปลูก
4.สำหรับเรื่องความยากในการปลูกเองคือเรื่องของ know how / เรื่องผลผลิตที่จะทำให้ได้มาตรฐานเพื่อราคาขายที่ดี และตลาดรับซื้อที่ถูกคนกลางหรือนายทุนกดราคาให้ขาย ทางสถาบันจึงรับผิดชอบการประกันราคาขั้นพื้นฐานให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ แต่ราคาขายจริงของผลผลิตจะขึ้นกับราคากลไกของการตลาด
5.การเข้าร่วมโครงการ สามารถดูรายละเอียด และดาวน์โหลดหนังสือแจ้งความจำนง ส่งมาทางอีเมลล์ หรือแฟกซ์ มาที่ สถาบันฯ โดยสามารถดาวน์โหลด หนังสือแจ้งความจำนงค์และติดต่อได้ที่ http://xn--12c4bbme1dybd9di1n.blogspot.com/
ตัวอย่างโครงการปลูกเมล่อน

ทางสถาบันฯมีระบบโรงเรือนอยู่ 3 ขนาด เล็ก / กลาง / ใหญ่
- ระบบโรงเรือนขนาดเล็ก ( 3 โรงเรือน) ปลูกเมล่อนได้โรงเรือนละ 400 ต้น
- ระบบโรงเรือนขนาดกลาง ( 3 โรงเรือน ) ปลูกเมล่อนได้โรงเรือนละ 800 ต้น
- ระบบโรงเรือนขนาดใหญ่ ( 3 โรงเรือน ) ปลูกเมล่อนได้โรงเรือนละ 1,500 ต้น
ตัวอย่าง
*โรงเรือนขนาดเล็ก 3 โรง ปลูกเมล่อนได้ 1,200 ต้น ถ้าเมล่อนให้ผลผลิตได้เพียง 1 ลูกต่อต้น จะได้ผลผลิต 1,200 ลูก (สมมุติหนักลูกละ 2 กิโลกรัม) ถ้าราคารับซื้อหน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท เกษตรกรจะมีรายได้จากการเพาะปลูก 1,200 x 50 = 60,000 บาท (ในความจริงให้ผลผลิตต่อ 1 ต้นมากกว่า 1 ลูก ) (ระยะเวลาปลูก 3 เดือน )
*โรงเรือนขนาดกลาง 3 โรง ปลูกเมล่อนได้ 2,400 ต้น ถ้าเมล่อนให้ผลผลิตได้เพียง 1 ลูกต่อต้น จะได้ผลผลิต 2,400 ลูก (สมมุติหนักลูกละ 2 กิโลกรัม) ถ้าราคารับซื้อหน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท เกษตรกรจะมีรายได้จากการเพาะปลูก 2,400 x 50 = 120,000 บาท (ในความจริงให้ผลผลิตต่อ 1 ต้นมากกว่า 1 ลูก ) (ระยะเวลาปลูก 3 เดือน )
?**โรงเรือนขนาดใหญ่ 3 โรง ปลูกเมล่อนได้ 4,500 ต้น ถ้าเมล่อนให้ผลผลิตได้เพียง 1 ลูกต่อต้น จะได้ผลผลิต 4,500ลูก (สมมุติหนักลูกละ 2 กิโลกรัม) ถ้าราคารับซื้อหน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท เกษตรกรจะมีรายได้จากการเพาะปลูก 4,500 x 50 = 225,000 บาท (ในความจริงให้ผลผลิตต่อ 1 ต้นมากกว่า 1 ลูก ) (ระยะเวลาปลูก 3 เดือน )
ในการให้ผลผลิตที่แท้จริงจะมีการแบ่งเกรดตามไซร์ ขนาด และ น้ำหนักของผลผลิต ซึ่งจะมีเกณฑ์การให้ราคาที่ต่างกัน

ยกตัวอย่างเพิ่มเติม









1.สถาบันฯดูแลควบคุมมาตรฐานการเพาะปลูกผลผลิตและรับประกันราคา
2.สถาบันฯมีการจัดการระบบการดูแลพืชด้วยเทคโนโลยีคุณภาพสูง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพปลอดภัยจากสารเคมตกค้างอย่างแท้จริง ซึ่งในความเป็นจริงในการเพาะปลูก หากปลูกเอง ขายเอง ทำการตลาดเอง ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะต้องปลูกให้ได้คุณภาพและได้จำนวนผลผลิตที่มีจำนวนมากได้ขนาดและคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ
3.สถาบันฯมีฝ่ายวางแผนและรับผิดชอบการดูแลการเพาะปลูกตลอดสัญญา เช่น กรณีเพาะปลูกแล้วผลผลิตล้นตลาด ราคาไม่ดี ขายไม่ออก สถาบันฯมีทางเลือกเพื่อปรับการเพาะปลูกเป็นพืชชนิดอื่นทดแทน เพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องให้กับเกษตรกรผู้เพาะปลูก
4.สำหรับเรื่องความยากในการปลูกเองคือเรื่องของ know how / เรื่องผลผลิตที่จะทำให้ได้มาตรฐานเพื่อราคาขายที่ดี และตลาดรับซื้อที่ถูกคนกลางหรือนายทุนกดราคาให้ขาย ทางสถาบันจึงรับผิดชอบการประกันราคาขั้นพื้นฐานให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ แต่ราคาขายจริงของผลผลิตจะขึ้นกับราคากลไกของการตลาด
5.การเข้าร่วมโครงการ สามารถดูรายละเอียด และดาวน์โหลดหนังสือแจ้งความจำนง ส่งมาทางอีเมลล์ หรือแฟกซ์ มาที่ สถาบันฯ โดยสามารถดาวน์โหลด หนังสือแจ้งความจำนงค์และติดต่อได้ที่ http://xn--12c4bbme1dybd9di1n.blogspot.com/
เกษตรกรในภาคกลางสามารถเพาะปลูกได้ทั้ง 3 ขนาด
เล็ก / กลาง / ใหญ่ /
ส่วนในเขตภูมิภาค เข้าร่วมโครงการได้เฉพาะ
ขนาดกลาง และ ขนาดใหญ่ เท่านั้น
ตัวอย่างโครงการปลูกเมล่อน

ทางสถาบันฯมีระบบโรงเรือนอยู่ 3 ขนาด เล็ก / กลาง / ใหญ่
- ระบบโรงเรือนขนาดเล็ก ( 3 โรงเรือน) ปลูกเมล่อนได้โรงเรือนละ 400 ต้น
- ระบบโรงเรือนขนาดกลาง ( 3 โรงเรือน ) ปลูกเมล่อนได้โรงเรือนละ 800 ต้น
- ระบบโรงเรือนขนาดใหญ่ ( 3 โรงเรือน ) ปลูกเมล่อนได้โรงเรือนละ 1,500 ต้น
ตัวอย่าง
*โรงเรือนขนาดเล็ก 3 โรง ปลูกเมล่อนได้ 1,200 ต้น ถ้าเมล่อนให้ผลผลิตได้เพียง 1 ลูกต่อต้น จะได้ผลผลิต 1,200 ลูก (สมมุติหนักลูกละ 2 กิโลกรัม) ถ้าราคารับซื้อหน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท เกษตรกรจะมีรายได้จากการเพาะปลูก 1,200 x 50 = 60,000 บาท (ในความจริงให้ผลผลิตต่อ 1 ต้นมากกว่า 1 ลูก ) (ระยะเวลาปลูก 3 เดือน )
*โรงเรือนขนาดกลาง 3 โรง ปลูกเมล่อนได้ 2,400 ต้น ถ้าเมล่อนให้ผลผลิตได้เพียง 1 ลูกต่อต้น จะได้ผลผลิต 2,400 ลูก (สมมุติหนักลูกละ 2 กิโลกรัม) ถ้าราคารับซื้อหน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท เกษตรกรจะมีรายได้จากการเพาะปลูก 2,400 x 50 = 120,000 บาท (ในความจริงให้ผลผลิตต่อ 1 ต้นมากกว่า 1 ลูก ) (ระยะเวลาปลูก 3 เดือน )
?**โรงเรือนขนาดใหญ่ 3 โรง ปลูกเมล่อนได้ 4,500 ต้น ถ้าเมล่อนให้ผลผลิตได้เพียง 1 ลูกต่อต้น จะได้ผลผลิต 4,500ลูก (สมมุติหนักลูกละ 2 กิโลกรัม) ถ้าราคารับซื้อหน้าฟาร์มอยู่ที่กิโลกรัมละ 50 บาท เกษตรกรจะมีรายได้จากการเพาะปลูก 4,500 x 50 = 225,000 บาท (ในความจริงให้ผลผลิตต่อ 1 ต้นมากกว่า 1 ลูก ) (ระยะเวลาปลูก 3 เดือน )
ในการให้ผลผลิตที่แท้จริงจะมีการแบ่งเกรดตามไซร์ ขนาด และ น้ำหนักของผลผลิต ซึ่งจะมีเกณฑ์การให้ราคาที่ต่างกัน

ยกตัวอย่างเพิ่มเติม









ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น